ปัจจุบัน Marketing Technology ทั่วโลกมีมากกว่า 8,000 technologies* และแต่ละสำนักก็มีการแบ่งประเภทของ Marketing Technology ไว้หลากหลายรูปแบบ ผมขอแบ่งประเภทของ Technology ไว้เป็นหมวดหมู่คร่าวๆดังนี้
martech คืออะไร
1. Marketing Analytics, Performance Tracking & Attribution
เทคโนโลยีประเภทวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด การวัดประสิทธิภาพต่างๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยๆได้เป็น
– Digital Analytics การวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งข้อมูลเชิงพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลของแคมเป็ญโฆษณา
– Social Media Analytics การวิเคราะห์ข้อมูลสื่อSocial ของเราทั้งด้านการมีส่วนร่วม (Engagement) และการConversion
– Competitor Analytics การวิเคราะห์ หรือติดตามคู่แข่งในช่องทางต่างๆ
– Heatmap Visualization เครื่องมือตรวจจับพฤติกรรมลูกค้า และแปลงออกมาเป็นภาพVisualize
– UTM, Link management การสร้างLink เฉพาะให้สามารถ track การ click จากแหล่งที่มาต่างกันได้
2. Cloud/Data Integration Platform
เทคโนโลยีประเภทอินทิเกรทเดต้า กันระหว่างระบบโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยๆได้เป็น
– Automate lead การส่งข้อมูลลูกค้า (Lead information) ข้ามระบบ เช่นการส่งLead ที่ submit Facebook Lead Ads ของเราไปเป็น Row ใหม่ Google sheet หรือส่งไปเป็น Email list ใหม่ที่ Mailchimp เพื่อส่ง Thankyou Email Autoresponder กลับได้ทันทีเป็นต้น
การจัดการ Integrate Facebook Lead Ads กับ Platform อื่นๆแบบ Automate ด้วย zapier
zapier integration
– Integration platforms as a service (iPaaS) หมวดหมู่ย่อยในกลุ่มนี้ คือ Marketing technology ที่พัฒนาการเชื่อมต่อ (Integration) กันระหว่าง Marketing technology ให้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้บางตัวยังมีความสามารถด้านเดต้าขั้นสูง เช่นความสามารถในการกำหนดเงื่อนไข ETL (Extract, Transform, Loader) โดยง่าย
– Assign tasks, track and score leads การเขียนRule เช่นเมือมีการSubmit Lead ใน Facebook lead Ads ให้ไปสร้าง Taskงานเช่น สร้าง Opportunity ใน Hubspot และให้ตัวแทนการขาย (Sale rep)ติดต่อลูกค้าภายในเวลาที่กำหนด หรือแม้กระทั่งการให้คะแนนLeads ตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้เช่น ถ้าLeadมาจาก Organic ให้+5คะแนน และอีกตัวอย่างคือ เราสามารถกำหนดได้ว่า ให้เปลี่ยนสถานะLead เป็น Hot Lead ถ้าLeadกรอกข้อมูลว่าทำงานแผนกที่กำหนด เป็นต้น
3. Business/Customer Data Visualization Technologies
เทคโนโลยีประเภทเดต้าวิช่วลไลซ์ หรือเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลดิบออกมาเป็นภาพ เช่นเ กราฟ, พล็อต, แผนที่, ตาราง และสามารถนำมาประกอบเป็นชุดDashboard เพื่อช่วยให้เห็นรายงาน (Report) ได้ชัดเจน สื่อสารข้อมูลได้ตรงกัน สำหรับเครื่องมือกลุ่ม Data Visualize สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆตามความสามารถดังนี้
– Data Visualization & Dashboards กลุ่มนี้จะมีความสามารถดึง Dimension, Measurement มาประกอบออกมาเป็นภาพวิช่วล โดยอาจจะมีความสามารถด้าน Calculation ข้อมูล เช่นการรวม การหาค่าเฉลี่ย การสร้างเทรนด์ไลน์ เป็นต้น
– Data preparation กลุ่มนี้เน้นไปที่การจัดเตรียมข้อมูล เช่นการCleansing, การเช็คข้อมูลซ้ำ(Deduplication), การAggregation, การTransform Data เป็นต้น
4. Conversion Rate Optimization / Personalization
เทคโนโลยีประเภทสร้างประสบการณ์ (User experience) ที่หลากหลายทั้งการสื่อสารข้อความแบบ Dynamic, การปรับรูปแบบบริการ (Service) ให้เหมาะสมกับ segmentation ต่างๆของลูกค้า หรือการปรับInterface, Layout ของ Frontend ต่างๆ และแม้แต่การนำเสนอสินค้าที่ลูกค้าน่าจะสนใจ (Related items) โดยมีจุดประสงค์หลักๆคือ การทำให้มีสัดส่วนการConvertที่สูงขึ้น (Conversion Rate Optimization) หรือการสร้างความประทับใจต่อสินค้าและองค์กร (Brand Loyalty) เป็นต้น
5. Advertising Technology
เทคโนโลยีประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการโฆษณา (Advertising) เพื่อประโยชน์ทั้งด้านประสิทธิภาพแคมเปญ (Efficiency) ทั้งด้านการวัดผลที่แม่นยำ (Accuracy) ด้านการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่ม (Target) โดยอาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้
-Social Media Advertising การโฆษณาผ่านช่องทางSocial
-Advertiser Campaign Management การบริหารแคมเปญโฆษณา เช่นการส่งLeadข้ามระบบ, การนำข้อมูลลูกค้าในCRMไปเป็น Customer audience ในMediaอื่นๆเป็นต้น
-Data management platform (DMP) การที่Data Providersเปิดให้เรา โฆษณาถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ผ่านระบบDMP เป็นต้น
6. Visitor Identification Software
เทคโนโลยีที่ช่วยยืนยันตัวตนของ Website Visitorเบื้องต้น เช่นการนำ IP address ไปแปลงเป็นเมือง,ประเทศ, เทคโนโลยีบางตัวสามารถนำ IP address นั้นๆไปenrichได้ ว่าUserเข้ามาwebsiteของเรา จากบริษัท, สถาบันการศึกษาไหนเป็นต้น
3rd Parties Data Enrichment Tools ชื่อ leadfeeder ทำให้รู้ว่า Anonymous User ที่เข้ามาwebเรามาจากไหน อยู่องค์กรอะไร
leadfeeder 3rd Parties Data Enrichment Tools
7. Affiliate Marketing & Performance-based advertising
เทคโนโลยีที่ช่วยการทำการตลาดแบบช่วยขาย โดยที่เจ้าของสินค้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ช่วยขายตาม performance ที่ได้ เช่น ค่าตอบแทนเป็น %ของราคาสินค้า โดยหน้าที่ของผู้ช่วยขาย คือการนำสินค้าไปเผยแพร่ในช่องทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นBlog, Social media โดยผู้ช่วยขายแต่ละรายจะมีLinkเฉพาะตัว เจ้าของสินค้าสามารถtrackได้ว่าการซื้อ-ขายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากผู้ช่วยขายรายไหน
8. Content Marketing Tools
เทคโนโลยีที่ช่วยในการทำ Content Marketing ได้โดยมีหมวดหมู่ย่อยๆดังนี้
– Content Creation เครื่องมือช่วยสร้างคอนเทนท์ได้อย่างรวดเร็ว เช่นการสร้าง ควิซ, โพลล์, โหวต
– User-Generated Content เครื่องมือช่วยควบคุมหรือผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมจากUser เช่นเครื่องมือช่วยกระตุ้นให้เกิดการReviews, การให้ Rating Score, การสร้าง Community ต่าง
– Form Builder เครื่องมือช่วยสร้างฟอร์มต่างๆ ทั้งแบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสำรวจ (Online Survey)
– Content research tool เครื่องมือresearch หา Idea, Topic การเขียนคอนเทนต์ใหม่ๆ ทั้งการหาจากเทรนด์ และการหาจากคู่แข่งในธุรกิจคล้ายคลึงกัน
9. SEO tool
เทคโนโลยีที่ช่วยในการทำ Search marketing ซึ่งหมายรวมทั้ง Search advertising (Google adword) หรือ Organic Search (SEO) โดยเครื่องมือกลุ่มนี้แยกเป็นหมวดหมู่ย่อยได้อีกมากมายเช่น
– Website Audit, Health check เครื่องมือที่มีหน้าที่ตรวจสอบwebsite ในด้านต่างๆเช่นการตรวจ Internal link ที่ error, ตรวจสอบความเร็วในการ Loading หน้า Webpage, ตรวจสอบการใส่ Meta tag ต่างๆเป็นต้น
– Google indexation, XML sitemap เครื่องมือที่มีหน้าที่ตรวจสอบการถูกindex ใน google, การจัดความสำคัฐของ sitemap เป็นต้น
– Keyword Analysisเครื่องมือที่มีหน้าที่monitor keyword ที่สำคัญๆ ทั้งอันดับ(Ranking) จำนวนการClick, จำนวน Impression เป็นต้น
– Off-page / Backlink เครื่องมือที่มีหน้าที่ตรวจจับ Backlink จาก website อื่นๆ ที่linkกลับมาหาเรา
10. Social Media Marketing
เทคโนโลยีที่ช่วยทำการตลาดผ่านช่องทาง Social media ได้สะดวกขึ้น โดยในกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อยๆได้ดังนี้
– Social media channels management เครื่องมือที่ช่วยให้เราบริหารจัดการ channel ของเราได้ง่ายขึ้น ทั้งการวางcontent schedule, การบริหาร Workload ของทีมคอนเทนต์, การบริหารข้อมูลลูกค้าทางแชทบ๊อกซ์
– Social campaign Management เครื่องมือที่ช่วยให้เราสร้างแคมเปญประเภท hashtag campaign, mention campaign ได้ง่ายขึ้น สามารถ monitor/moderate feed ทั้งจาก Twitter hasgtag, Instagram hashtagได้
– Influencer Marketing เครื่องมือที่ช่วยจัดการ Influencer ทั้งการจัดหาผ่านทาง marketplace, การ Import รายชื่อ Influencer เข้าไปในระบบเพื่อ Track Performance หรือการจัดทำ digital profiles ของ Influencer แต่ละคนเก็บไว้ในระบบเป็นต้น
-Social media monitoring & listening เครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึง sentiment ต่างๆของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นใน Social media ต่างๆ เพื่อแบรนด์จะเข้าไปจัดการ Crisis, เก็บ Insight ที่ได้มาพัฒนาสินค้าและบริการในอนาคต หรือการสร้าง Engagement กับลูกค้าเก่าๆได้
11. CRM, CDP, Marketing Automation
เครื่องมือ Customer Relation Management หรือ CRM คือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยทั่วไปจะเป็นการกระบวนการบริหารงานขายให้มีประสิทธิภาพ โดยการเข้าดึงกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า หรือ ที่นิยมเรียกกันว่ากลุ่ม Potential ให้เข้ามาสู่กระบวนการขาย (Sale Pipeline) ทำให้เกิดดีลการขาย หรือ Opportunity ไปจนปิดการขาย (Convert หรือ Won Deal) อย่างรวดเร็ว
ส่วน Marketing Automation คือเครื่องมือที่สื่อสารกับกลุ่ม Potential ตลอดทั้ง Funnels ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในระบบ ไปจนถึงการเป็นลูกค้าแล้วกลับมาซื้อซ้ำ และต้องสามารถสื่อสารกับลูกค้าทุกกลุ่มได้แบบ Automated ตามการเขียน Flow ไว้ล่วงหน้า สื่อสารได้ทุกๆช่องทางทั้ง Email, SMS, Ads, หรือการ Push Notification ผ่านช่องทางต่างๆ
ทั้งนี้ CRM และ Marketing Automation มักจะมีฟีเจอร์ที่ทับซ้อนกัน และใช้งานร่วมกันได้หลายๆฟีเจอร์ ผู้เขียนจึงนำมารวมไว้ในหมวดหมู่เดียวกัน แต่พอจะจำแนกได้คร่าวๆว่า CRM โดดเด่นในการควบคุมการขาย แต่ Marketing Automation โดดเด่นในการสื่อสาร การจัด Segmentation
สำหรับเครื่องมือ CRM และ Marketing Automation ที่แนะนำให้ไปศึกษาได้แก่ Sendinblue, Wisible, Hubspot, R-CRM, Saleforce CRM
ส่วน CDP หรือ Customer Data Platform
เครื่องมือ Martech ที่มาแรง ด้วยแนวคิดที่ว่าปัจจุบัน เรามี Data Sources อยู่หลากหลายช่องทาง แต่ละที่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าอยู่ ถ้าเราสามารถ Console หรือ Integrate ข้อมูลจากทุกแหล่งได้ ก็น่าจะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ลึกและละเอียดขึ้น ทำให้ CDP คือ หมวดหมู่ Martech ที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก
โดยความสามารถของ CDP ที่แตกต่าง หรือคล้ายคลึงกับ Technology อื่นๆได้แก่
• ความสามารถด้านเก็บข้อมูลหรือ Data Collection (คล้ายกันกับ Enterprise Data Warehouse)
• ความสามารถด้านรวมข้อมูลมาประกอบเป็นโปรไฟล์ หรือ Profile Unification (คล้ายกันกับ Personalization Engine)
• ความสามารถด้านจัดกลุ่มลูกค้าหรือ Segmentation (คล้ายกันกับระบบ CRM)
• สามารถควบคุม Platform ได้ด้วย Marketer (คล้ายกันกับระบบ DMP)
สำหรับเครื่องมือ CDP ที่แนะนำให้ไปศึกษาได้แก่ Treasure Data, Tealium, GROWTH.ai
12. Marketing Cloud Suites
เทคโนโลยีที่ผลิดมาแบบเป็นแพ็ค จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก โดยเทคโนโลยีชุดพวกนี้ มักจะขายแยกเป็นโมดูล หรือเป็น Feature โดยแต่ละค่ายก็จะมีวิธีการแบ่งโมดูลแตกต่างกันออกไป แต่หลักๆแล้วเทคโนโลยีทุกค่ายมักจะมี Marketing automation module, Customer Database Module, Analytic Module, Content creator module เป็นต้น
ประเภทของ Marketing Technology มีอะไรบ้าง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://businesssmarttools.com/